ปืนประจำกายทหารไทย ตั้งแต่ยุคสงครามโลกจนถึงปัจจุบัน

ปืนประจำกายทหารไทย

ปืนประจำกายทหารไทย ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็คือ Type 83 Rifle จากประเทศญี่ปุ่น ที่ถือว่าเป็นปืนที่นิยมในช่วงเวลานั้น และเป็นปืนที่มีประสิทธิภาพ เอาเป็นว่าเราไปรู้จักเกี่ยวกับปืนชนิดนี้ขึ้นกันดีกว่า

ปืนประจำกายทหารไทย ทำไมถึงต้องเป็นปืนจากประเทศญี่ปุ่น

สาเหตุที่ ปืนประจำกายทหารไทย ในช่วงยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ต้องเป็นอาวุธจากประเทศญี่ปุ่นก็เป็นเพราะว่า ประเทศไทยได้มีการทำข้อตกลงทางการค้าหลายอย่างกับประเทศญี่ปุ่น ทำให้ทางรัฐบาลของประเทศญี่ปุ่นมีส่วนลดในการสั่งซื้ออาวุธจากประเทศญี่ปุ่น และในช่วงนั้นปืน Type 83 Rifle ก็ถือว่าเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นอันดับต้น ๆ ในโลกจึงทำให้รัฐบาลไทยได้ตัดสินใจที่จะนำ Type 83 Rifle มาเป็นอาวุธประจำกายของทหารไทยนั่นเอง

ปืนประจำกายทหารไทย Type 83 Rifle ถูกประจำการตั้งแต่ปีที่เท่าไหร่

ปืน Type 83 Rifle ถูกประจำการในกองทัพไทยในตำแหน่งปืนประจำกายทหารไทย ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2483 โดยต้นแบบของปืน Type 83 Rifle คือปืน Arisaka Type 38 จากประเทศญี่ปุ่นที่ทางประเทศไทยได้มีการดัดแปลงขนาดลำกล้องจากเดิม 6.5x50sr เป็น 7.62×63 มิลลิเมตร เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการทำลายล้างสูงเทียบเท่ากับ M1 Garand ของประเทศสหรัฐอเมริกา

ก่อนที่ปืน ปืนประจำกายทหารไทยจะถูกเปลี่ยนในปีพ.ศ. 2511

ซึ่งหลังจากที่ปืน Type 83 Rifle ถูกประจำการในประเทศไทยมายาวนานถึง 28 ปีในปีพ.ศ. 2511 ทางกองทัพไทยก็ได้มี ปืนประจำกายทหารไทยรุ่นใหม่เข้ามาแทนที่ซึ่งนั่นก็คือปืน HK 33 ที่ถูกนำเข้ามาประจำการแทนที่ปืน Type 83 Rifle ซึ่งถือว่าเป็นการยกระดับคุณภาพของกองทัพไทยครั้งใหญ่ที่สุดหลังจากการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2

ซึ่งในปัจจุบันนี้ปืน HK 33 ก็ยังคงถูกประจำการในกองทหารบางหน่วย

โดยถึงแม้ว่าปืน HK 33 จะไม่ได้ถูกเรียกว่าเป็นปืนประจำกายทหารไทย ในยุคปัจจุบันแต่พวกเราก็ยังคงสามารถพบเห็นปืน HK 33 ในทหารไทยบางหน่วยได้อยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะในการฝึกซ้อมยิงปืน เพราะถึงแม้ว่าปืน HK 33 จะถูกประจำการในประเทศไทยมานานถึง 55 ปีแต่ก็ยังถือว่าเป็นปืนที่มีประสิทธิภาพในการรบอยู่

และนอกจากปืน HK 33 จะยังถูกพบเจอได้ในปัจจุบันปืนรุ่นคุณปู่อย่าง Type 83 Rifle ก็ยังคงสามารถพบเห็นได้เช่นกัน โดยในปัจจุบันนี้ปืนดังกล่าวจะถูกนำไปใช้ในการฝึกกำลังพลสำรองและใช้ในการฝึกกับนักเรียนรักษาดินแดน และที่น่าแปลกใจก็คือจนถึงในปัจจุบันนี้ปืนดังกล่าวบางกระบอกก็ยังคงสามารถใช้งานได้ตามปกติถึงแม้จะมีอายุมาเกือบ 100 ปีแล้วก็ตาม

ปืนประจำกายทหารไทย

และปืนประจำกายทหารไทย ในปัจจุบันนี้คือปืนอะไร?

ซึ่งปืนประจำกายทหารไทย ในปีพ.ศ. 2566 นั่นก็คือปืนที่มีชื่อว่า TAR-21 ที่ใช้กระสุนขนาด 5.56×45 มิลลิเมตรหรือที่เราเรียกกันว่ากระสุนมาตราฐาน NATO โดยปืน TAR-21 เป็นปืนจากประเทศอิสราเอล ที่ประเทศไทยได้มีการสั่งซื้อเข้ามาประจำการในกองทัพบกตั้งแต่ปีพ.ศ. 2557 ซึ่งถือว่าเป็นปืนที่มีความกะทัดรัดสามารถใช้งานได้หลากหลายสถานการณ์ เนื่องมาจากปืนดังกล่าวมีการบรรจุกระสุนที่บริเวณพานท้ายของปืน ทำให้เป็นปืนลำกล้องยาวที่สามารถใช้ภายในอาคารได้

และถ้าหากเราอ่านกันมาจนถึงตอนนี้แล้วผมเชื่อว่าทุกคนน่าจะสังเกตเห็นว่าประเทศไทย ไม่มีการผลิตอาวุธปืนขึ้นมาใช้ด้วยตนเองเลยแม้แต่กระบอกเดียว แต่จะเป็นการสั่งซื้ออาวุธจากต่างประเทศทั้งหมด

แล้วทำไมประเทศไทยถึงไม่ผลิตอาวุธใช้เอง?

โดยเหตุผลที่ประเทศไทยไม่ผลิตหรือพัฒนาอาวุธขึ้นมาใช้เอง นั่นเป็นเพราะว่าทางรัฐบาลของประเทศไทยไม่ได้มีการสนับสนุนอย่างเพียงพอตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยสิ่งที่ใกล้เคียงกับการผลิตมากที่สุดก็คือการที่ประเทศไทยซื้อลิขสิทธิ์ปืน Arisaka Type 38 จากประเทศญี่ปุ่นมาดัดแปลงเป็น Type 83 Rifle แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะนิ่งนอนใจ เพราะว่าในปีพ.ศ. 2564 บริษัทเอกชนในประเทศไทยได้มีการพัฒนาอาวุธขึ้นมาได้สำเร็จภายใต้ชื่อว่า DTI7 ที่ใช้กระสุนขนาด 5.56×45 มิลลิเมตร ที่ถือได้ว่าเป็นปืนสัญชาติไทยกระบอกแรก และทางกองทัพบกก็ได้มีการเซ็นสัญญาการสั่งซื้อเพื่อคาดหวังให้ปืน DIT7 จะเข้ามาเป็นปืนประจำกายทหารไทย ที่ถูกใช้ในทุกเหล่าทัพ และประเทศอื่น ๆ ก็ได้มีการพิจารณาการสั่งซื้อปืนดังกล่าวเช่นเดียวกัน

สนามยิงปืนพัทยาBATTLEMOUSE PATTAYA สนามยิงปืนที่ทันสมัยที่สุดในพัทยา

สนามพีระอินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต สนามโกคาร์ท สนามแข่งรถ มาตรฐานสากลแห่งแรกในประเทศไทย